วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตำนาน ดอกกุหลาบ

กุหลาบ เป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่า กุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้

เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย

แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย


สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน

เพราะชาวโรมันถือว่า ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย

กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส

ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง

แต่บางตำนานก็เล่าว่า ดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

บางตำนานกล่าวว่า กุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส

ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ

จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa

จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก

จะทำอย่างไรให้ฟันขาว


ฟันเหลืองเกิดขึ้นจากสาเหตุใด

ฟันคนเราปกติจะมีสีขาวเป็นมันวาว แต่บางคนจะมีฟันเหลือง หรือดำคล้ำ แลดูไม่สวยงาม โดยอาจจะเป็นเพียงบางซี่ หรือทุกๆซี่ก็ได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ฟันคนเราไม่ขาวก็จะมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน คือ

1. การที่คนเรารับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีสี เป็นประจำ เช่น ชา กาแฟ
การอมลูกอม สูบบุหรี่ ร่วมกับการที่เราแปลงฟันไม่สะอาดพอ จึงทำให้มีคราบอาหาร คราบแบคทีเรีย และหินปูน มาเกาะติดสะสมทีละน้อย ๆ จนเห็นเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีดำติดตามซอกฟัน

2. เกิดจากฟันผุ ซึ่งมักจะมีสีเหลืองเข้ม หรือสีน้ำตา โดยเฉพาะฟันที่อยู่ด้านหน้าทำให้ มองเห็นได้ชัดเจน

3. เกิดจากฟันตาย ซึ่งหมายถึง ฟันที่ไม่มีเลือด และประสาทฟันมาหล่อเลี้ยงทำให้ฟันมีสี ทึบ ไม่โปร่งเหมือนฟันที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับฟันที่ผุมาก ๆ และทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน จนฟันผุลุกลามถึงโพรงประสาทฟัน หรืออาจเกิดขึ้นกับฟันที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือถูกกระแทกอย่างแรง จนมีการฉีกขาดของเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงฟัน เมื่อทิ้งไว้นาน ๆ โดยไม่มีการดึงประสาทฟันออก ฟันจะยิ่งมีสีคล้ำมากขึ้น

4. ฟันมีสีผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด เนื่องมาจากโรคบางอย่าง หรือการได้รับยาบางชนิด มากเกินไป เช่น ยาเตตราซัยคริน ซึ่งการกินยาตัวนี้ จะมีผลต่อสีของฟัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการก่อตัวหรือสร้างฟันเท่านั้น คือ ฟันน้ำนม ในเด็กอายุ 3-9 เดือน และฟันแท้ในเด็กอายุ 3-12 ปี ทำให้ฟันแทบทุกซี่มีสีค่อนข้างเหลือง หรือเป็นสีเทาดำ นอกจากนี้อาจเกิดจากการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป จะมีจุดสีน้ำตาลบนฟัน ที่เรียกว่า ฟันตกกระ

วิธีใดบ้างที่จะทำให้ฟันขาว มีกี่วิธี

วิธีที่จะทำให้ฟันขาวนั้นมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุ และลักษณะของสีฟันที่ผิดปกติไป

1. วิธีแรกที่ง่ายมากก็คือ

การแปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึงหลังอาหารทุกมื้อร่วมกับการไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อขูดหินปูนและขัดฟัน ซึ่งการขัดฟันจะไม่ทำให้ฟันบางลงอย่างที่บางคนเข้าใจ ถ้าเกิดการมีฟันผุก็จัดการให้เรียบร้อย ในฟันหน้าทันตแพทย์จะกรอส่วนที่ผุ มีสีดำ หรือสีเหลืองออก แล้วอุดด้วยวัสดุที่มีสีเหมือนฟัน เท่านี้ ฟันก็จะมีสีขาวสะอาดได้เหมือนปกติ

2. การฟอกสีฟัน คืออะไร

การฟอกสีฟันในปัจจุบัน คือการฟอกสีฟันทั้งปาก ได้รับความนิยมจากบุคคลทั่วไป และ
มีการวิวัฒนาการของยาที่ฟอกสีฟัน ทำให้ใช้ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การฟอกสีฟันทั้งปาก ทำให้ 2 วิธี

วิธีแรก

เป็นวิธีที่จะต้องทำในคลินิก โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้ทำ โดยใช้สารฟอกสี ซึ่งส่วนใหญ่ คือ สารประเภท Peroxide ที่มีความเข้มข้น 30-35 % ระยะเวลาในการทำในแต่ละครั้ง คือประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง

วิธีที่สอง

คือ คนไข้สามารถนำสารฟอกสีกลับไปทำเองได้ที่บ้าน โดยทันตแพทย์จะเตรียมอุปกรณ์ให้ แต่คนไข้ต้องกลับมาตรวจเป็นระยะตามที่ทันตแพทย์นัดสารฟอกสีที่ใช้ก็จะเป็นประเภทเดียวกับที่ทำในคลีนิค แต่จะมีความเข้มข้น น้อยกว่า คือ ประมาณ 2-10% ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย วิธีฟอกก็ไม่ยาก เพียงแต่บีบสารฟอกสีลงในถาดฟันยางที่ทันตแพทย์ทำเฉพาะไว้สำหรับแต่ละคน จำนวนน้ำยาที่ใส่ลงในถาดก็ประมาณเพียง 1 ใน 3 ของถาด แล้วสวมฟันยางไว้ วันละ 1-2 ชม. ทุกวันและจะต้องกลับไปพบทันตแพทย์ตามกำหนดนัด

ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษามากน้อยแค่ไหน

ระยะเวลาที่ใช้นั้นมักขึ้นอยู่กับสีและคราบคล้ำของฟัน ถ้าฟันมีสีเหลืองไม่มากก็อาจจะ ฟอกให้ขาวได้ในเวลา 2-3 สัปดาห์ แต่ถ้าหากฟันมีสีเหลืองเข้ม หรือสีเทาอ่อนก็อาจจะต้องฟอกให้ขาวได้นานพอสมควร แต่ใช้เวลาในการฟอกมากขึ้นเป็น 4-5 สัปดาห์

สารฟอกสีมีอันตรายหรือผลข้างเคียงต่อเหงือกหรือฟันหรือไม่

อันตรายหรือผลข้างเคียงต่อเหงือกหรือฟัน ก็มีบ้างโดยเฉพาะชนิดที่ทำในคลินิกเพราะมี ความเข้มข้นสูง แต่ทันตแพทย์ผู้ทำเขาจะระมัดระวังและป้องกันเป็นอย่างดี ส่วนชนิดที่ทำที่บ้านนั้น จะต้องมีความเข้มข้นน้อย จึงไม่ค่อยมีอันตราย ถึงแม้ว่าเราอาจจะกลืนสารฟอกสีลงไปบ้างเล็กน้อย เพราะสารฟอกสีจะสลายตัวกลายเป็นน้ำได้ง่าย

ส่วนอาการที่จะเกิดขึ้นก็อาจจะมีอาการแสบเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก เนื่องจากการระคายเคืองโดยตรงที่สัมผัสกับน้ำยา และอีกอาการหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ก็คือ การเสียวฟันหลังจากฟอกสี แต่ประสาทฟันจะมีการป้องกันตัวเองโดยธรรมชาติและอาการก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงและหมดไปเมื่อเราหยุดฟอกสี นอกจากนี้ทันตแพทย์ก็อาจเคลือบได้การเคลือบฟลูออไรด์ การฟอกสีฟันทั้งปากไม่ได้ทำให้ฟันสึกกร่อนหรืออ่อนแอลงแต่อย่างไร

ถ้าทำการรักษาเรียบร้อยแล้วจะต้องทำอีกหรือไม่ มีการทำแบบถาวรหรือไม่

การฟอกสีฟันเมื่อฟอกแล้วสีกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพก่อนฟอก ถ้า เดิมสีค่อนข้างคล้ำ โอกาสคืนกลับสู่สีเดิมจะเป็นไปได้สูง ในเวลา 1-2 ปี แต่การฟอกสีฟันที่สีเหลืองอ่อน จะขาวได้นานประมาณ 3-4 ปี ทั้งนี้ต้องขึ้นกับความระมัดระวังป้องกันการติดสีจากคราบอาหารด้วย และเมื่อสีฟันคล้ำลงอีกก็สามารถใช้ยาฟอกสีฟันซ้ำได้อีก

ส่วนวิธีอื่น ๆ ที่จะทำแบบถาวรก็มี เช่น

- การทำเคลือบฟัน โดยทันตแพทย์จะกรอแต่งผิวเคลือบฟันด้านหน้าออกเล็กน้อย แล้ว ปิดทับด้วยวัสดุอุดสีขาว หรือสีเหมือนฟัน ตบแต่งให้ได้รูปร่างสวยงาม ซึ่งวิธีนี้ จะทำให้ฟันขาวค่อนข้างถาวรกว่าการฟอกสี แต่ก็ยังมีโอกาสเสื่อมได้ คือ อาจจะมีรอยแตก กะเทาะของวัสดุที่ทำเคลือบเมื่อใช้ไม่ระมัดระวัง แต่สามารถซ่อมแซมหรือทำใหม่ได้ไม่ยากนัก แต่วิธีนี้โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายก็จะแพงกว่าการฟอกสีฟัน นอกจากนี้ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือ

- การทำครอบฟัน ทันตแพทย์จะกรอแต่งผิวเคลือบฟันออกทั้งซี่ ให้เหลือเป็นแกนแล้ว ทำฟันปลอมครอบทับลงไปติดแน่นด้วยซีเมนต์ทันตกรรม ฟันที่ดำหรือแตก บิ่น สารมารถทำครอบที่มีสีและรูปร่างให้สวยงามได้ดี จึงถือว่าเป็นการเปลี่ยนสีฟันได้อย่างถาวร แต่ค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าการทำเคลือบฟัน และการฟอกสีฟัน

ในเด็กสามารถทำได้หรือไม่

ในเด็กก็สามารถทำได้ แต่ไม่มีความจำเป็นต้องทำ ปกติเด็กก็จะมีฟันแท้ขึ้น อายุประมาณ 6-7 ปี ฟันแท้ที่ขึ้นมามักจะมีฟันเหลืองกว่าฟันน้ำนมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็เป็นสีที่เป็นธรรมชาติจึงไม่จำเป็นต้องฟอกสีฟัน นอกจากรายที่มีความปกติจริง ๆ เท่านั้น

ในกรณีใดบ้างที่ไม่สามารถทำได้ มีข้อห้ามบ้างหรือไม่

ข้อห้ามนั้นไม่มี แต่บางทีการจะตัดสินใจว่าจะฟอกสีฟันใหม่หรือไม่นั้น ก็จะขึ้นอยู่กับ ความจำเป็นด้วย บางคนคิดว่าตัวเองมีฟันสีเหลือง แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นสีโทนปกติของฟัน

การฟอกสีฟันด้วยตนเองที่มีขายตามท้องตลาดนั้น สามารถทำเองได้หรือไม่

ยาฟอกสีฟันชนิดที่วางขายตามร้านค้า บุคคลทั่วไปสามารถซื้อไปฟอกเองที่บ้านได้ และ ยาสีฟันที่ทำให้ฟันขาวก็มีออกมาสู่ท้องตลาดมากขึ้น ซึ่งเป็นประเภทที่นอกเหนือจากการดูแลของทันตแพทย์ จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

ข้อแนะนำ

ขอแนะนำในเรื่องของการแปรงฟันให้สะอาดหลังอาหารทุกมื้อ ร่วมกับ การใช้ไหมขัดฟัน เพราะการทำความสะอาดโดยการใช้แปรงสีฟันอย่างเดียวจะทำได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะตามซอกฟัน ในเรื่องของการบริโภคอาหาร ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงการกินของหวานและของเหนียวที่ติดฟัน ไม่กินจุกกินจิก และที่สำคัญหมั่นไปพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก หากมีฟันที่ผุ ทันตแพทย์ก็จะจัดการอุดให้เรียบร้อย และขูดหินปูน ขัดฟัน เท่านี้คุณก็จะสุขภาพช่องปากที่สมบูรณ์ ฟันขาว สะอาด และสวยงามได้อย่างแน่นอน

วิธีทำให้ผิวขาว

1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิ ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่า ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

โรคร้ายแรงที่สามารถรักษาบำบัดด้วยยาสมุนไพรไทย


บทความในเว็บไซค์นี้ จะนำเสนอ เผยแพร่ งานวิจัยตำรับพืชสมุนไพร เพื่อทราบคุณประโยชน์คณาประการของสมุนไพรไทยสำหรับผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายแล้วว่ามีคุณสมบัติยับยั้งบำบัดรักษาโรคร้ายเกี่ยวกับเนื้อเยื่อในร่างกายมนุษย์ซึ่งรู้จักโรคร้ายนี้ในชื่อว่า โรคมะเร็ง และโรคร้ายอื่นๆที่เป็นผลพวงมาจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง(เอดส์) ผู้ที่ได้รับการบำบัดรักษาด้วยวิธีนี้แล้วยังสามารถมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติในระยะเวลาเพียง 3-7 เดือน แล้วแต่ความรุนแรงของโรค ซึ่งบุคคลในทุกสาขาอาชีพสามารถนำไปใช้ตัวยานี้บำบัดรักษาได้ด้วยตนเอง โดยไม่กระทบต่อสถานะทางครอบครัวและเศรษฐกิจเผยแพร่ครั้งแรกในหมู่ข้าราชบริพารในราชสำนัก ได้ผลดีจึงได้แนะนำต่อๆไป

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ การออกแบบจัดสวน

การออกแบบจัดสวน คือการจะทำให้สวนมีความสวยงาม จะต้องมีความรู้พื้นฐานค่อนข้างจะสูงมาก ในเรื่องของการออกแบบ นอกจากนี้ สวนสวย ไม่ใช่ว่า สวนจะอยู่ได้นาน จะต้องดูว่าสวนสวย จะต้องมีการดูแลรักษาที่ดี เพื่อให้เขามีชีวิต ที่อยู่ได้ยาวนาน ด้วย หลักการออกแบบ จึงมีความ จำเป็น ต่อการจัดสวนมาก เพราะถือว่าการออกแบบ การเขียนแบบ เป็นจุดเริ่มต้น ของงาน การออกแบบ ที่ดีต้องอาศัยความรู้อยู่ 2 อย่างด้วยกัน

1. องค์ประกอบของศิลป์ เป็นศิลปะที่เกิดจาก การผสมผสานของจิตใจ สอดคล้องกับวิถีชีวิต และเพื่ออำนวยประโยชน์สูง ทางด้าน ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ องค์ประกอบของศิลป์ ที่สำคัญได้แก่ สี ต้องมีความเข้าใจเรื่องของสี เรื่องของเส้น เรื่องของพื้นผิว เรื่องของรูปทรง เรื่องของรูปร่าง เรื่องของช่องว่าง และก็ลวดลาย ซึ่งถือว่าเป็น องค์ประกอบของศิลปะ ผู้ออกแบบจะต้องทำ ความเข้าใจ

2.. หลักในการออกแบบ จะเน้นที่ความสมดุล จะเป็นสมดุลที่แท้จริง สมดุลแบบเชิงล้อเลียนธรรมชาติ อะไรก็แล้วแต่ ช่วงจังหวะทั่ว ๆ ไปที่เราเรียกว่า ลิทึม สำหรับมาตราส่วน ที่เหมาะสมกับพื้นที่ ความเป็นเอกภาพจัดไปแล้ว มีความเป็นหนึ่งเดียว ไม่หลากหลาย หรือสับสนมากเกินไป ความกลมกลืนของกลุ่มวัสดุที่ใช้ เช่น กลุ่มของหิน กลุ่มของพืชพันธุ์ ในระหว่างการสร้างจุดเด่น รวมถึง ความขัดแย้งถ้าเผื่อจำเป็น จะต้องมีอันนี้เป็น หลักของการออกแบบที่ดี ผู้ออกแบบที่ดี จะต้องศึกษา ข้อมูลเหล่านี้ให้ชัดเจนและเข้าใจ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางประเด็น ที่อยากจะให้ข้อเสนอแนะว่า ในการออกแบบเราก็มีข้อคิดหลาย ๆ ข้อคิดที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น กรณีของการใช้สีในการจัดสวน ถ้าหากเป็น ชาวตะวันออก จะนิยมใช้กลุ่มสีที่เป็นสีเย็นหรือสีพื้น หรือใส่เสื้อผ้าสีพื้นมากกว่า ฉูดฉาด เพราะฉะนั้นลักษณะพืชพันธุ์ สิ่งของที่นำมาใช้ วัสดุมักจะเป็นสีพื้น ๆ และดูได้นาน มีความกลมกลืนค่อนข้างยาวนาน แต่ถ้าเป็น การจัดสวน แบบชาวยุโรปตะวันตก เนื่องจากสภาพอากาศค่อนข้าง จะแปรปรวนง่าย สีที่ใช้ส่วนใหญ่ของพืชพันธุ์วัสดุ มักจะเป็น สีซ้อนและสีค่อนข้าง จะฉูดฉาด เน้นค่าของสีต่อพื้นที่ พื้นผิวที่ต่างกัน จะมีแปลงไม้ดอกสดใสมากมายในแถบยุโรปซึ่งแตกต่างกัน ในเรื่องการใช้สี นอกจากนี้จะพิจารณาถึง ฉากหลัง หรือ ผนังของอาคาร ต่าง ๆ อย่างเช่น กรณีของผนัง ถ้าเป็น ผนังของอาคาร ที่เป็นสีสว่าง ๆ ก็จะเลือกใช้วัสดุที่มีสีเข้ม เพื่อให้มองดูสวยขึ้น และในทำนองเดียวกัน ถ้าหาก ผนังอาคาร สีเข้มอยู่แล้ว อาจจะใช้วัสดุ พืชพันธุ์ สีสว่าง เพื่อมองดูเด่นชัด อาจจะมีความขัดแย้งกันอยู่บ้าง กรณีพื้นผิวต่อ งานออกแบบ อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้ากรณีพื้นผิวหยาบ พืชพันธุ์ ที่นำมาใช้ก็ควร จะใช้ที่มีพื้นผิวละเอียดจะมองดู เป็นความขัดแย้งแต่ ถ้าหากเราต้องการให้มี ความกลมกลืนอาจจะ ใช้พื้นผิวที่หยาบ เช่น พันธุ์ไม้ที่มีใบใหญ่ใบหนา ถ้าหากว่าพื้นผิวหยาบ จะไว้ส่วนหลัง ส่วนหน้าก็จะเป็นพื้นผิวค่อนข้างจะปานกลาง หน้าสุดก็จะเป็นละเอียด ถ้าเป็นสนามหญ้าเปิดกว้าง ๆ จะใช้หญ้านวลน้อย ถ้าหากใต้ร่มไม้ ที่มีแสงไม่มากนัก จะใช้หญ้ามาเลเซีย หรือพื้นที่ขนาดเล็ก อาจจะใช้หญ้าที่ละเอียด เช่น หญ้าญี่ปุ่น การจัดสวน เพื่อให้เกิด ความสวยงาม บางทีสวนที่จัดซับซ้อนเกินไป ไม่ได้บ่งชี้ความสวยงาม ระยะยาว แต่สวนที่จัดให้เกิดความสวยงาม กลับกลายเป็นจัดสวนที่ง่าย มีสนามหญ้าเปิดกว้าง ดูแลรักษาง่าย ยาวนาน และเสริมสิ่งก่อสร้างหลักให้สวยงามมากขึ้น การจัดสวน อย่าให้เป็นเหมือน การจัดเรือนต้นไม้ หรือ ร้านขายต้นไม้ เป็นหลักการ ที่ค่อนข้างจะสำคัญ

วัตถุประสงค์ของการจัดสวน มี 3 ประการ คือ

1. การจัดสวนในระบบของพืชผล จะต้องสนองตอบต่อ ความต้องการของคน คือ เอาคนเป็นศูนย์กลางจะต้องเน้น และก็เอื้ออำนวย ประโยชน์สูงสุด แก่คน ไม่ว่าจะเป็น ด้านร่างกาย หรืออื่น ๆ กิจกรรมที่คนกระทำอยู่ เช่น ในสวนจะต้องมีทางเดิน ทางเดินเท้า ทางถนนรถยนต์ ศาลาพัก ม้านั่ง สระว่ายน้ำ ที่ละเล่นกลางแจ้ง มีต้นไม้ยืนต้น เป็นร่มเงา ตามทางเดิน นอกจากนี้ยังมีไม้พุ่ม ไม้คลุมดินเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมต่าง ๆ มีการตัดเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้เกิดความสวยงาม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมภายใน ป้องกันมลพิษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ เสียง ฝุ่นละอองที่เกิดขึ้น

2. การจัดสวน เพื่อความสวยงาม เน้นที่สุนทรียภาพต่างๆ มุ่งความงามให้เกิด ความสุขทางด้านจิตใจ อารมณ์ การจัดจะหลากหลาย บรรยากาศ มีมุมสงบมีมุมก่อให้เกิด ความประหลาดใจ เป็นการมุ่งเน้นให้เกิดคุณค่า มีความลี้ลับ เพื่อให้เกิดความคิด ความสนใจ ความระทึกใจ ความสร้างสรรค์ เช่น การจัดสวน ที่มีมุม น้ำพุ น้ำตก ทางน้ำไหล ไม้ดอกสวยงาม เป็นต้น

3. การจัดสวนเพื่อการทดลอง การศึกษา ทดลอง ค้นคว้า วิจัย ต่าง ๆ กรณีที่ได้รับ พืชพันธุ์ ใหม่มา วัสดุอุปกรณ์ ที่ใช้ใน การจัดสวน ใหม่ ๆ มา จะเป็น วัสดุอุปกรณ์ ที่มนุษย์ผลิตขึ้น หรือจาก ธรรมชาติ มาจัดประกอบเข้ากับ รูปแบบของสวนต่าง ๆ ก็ศึกษาว่า เหมาะสม หรือไม่ พืชพันธุ์ นั้นเจริญเติบโตได้ดีหรือไม่ เหมาะกับ รูปแบบของสวน หรือไม่ วัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ที่มุ่งเน้นการศึกษาการค้นคว้า และการทดลอง เพื่อหาคำตอบ ที่เหมาะสมนั่นเอง หาความสัมพันธ์ระหว่างพืชพรรณ วัสดุกับรูปแบบของสวน หรือบางครั้ง อาจจะมี การจัดสวน แบบต่าง ๆ เพื่อเป็นต้นแบบของการศึกษา

วิธีตกแต่งhi5




hi5 นอกจากจะเป็นที่รวมเพื่อนๆ ที่ถูกใจเราแล้ว ยังเป็นที่ๆเราสามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวของเราเองได้อีกด้วย ดังนั้นการตกแต่งประดับประดาหน้าเว็บ hi5 ของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องใส่ใจและสวยงามในสไตล์ที่เราชอบ

สร้าง URL ให้ hi5 ของเราเสียก่อน

การไม่มี URL เปรียบเหมือนกับเราไม่มีที่อยู่เพื่อติดต่อเพื่อนๆจะติดต่อทีก็ลำบาก มาสร้าง URL ให้ hi5 ของเราด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ค่ะ

1.) Sign in เข้า hi5 ก่อนค่ะ โดยการกรอกอีเมลที่ใช้สมัคร และพาสเวิร์ด

2.) คลิกที่เมนู Profile จากนั้น ในช่อง Choose a personal hi5 URL! ให้ทำการตั้งชื่อตาม URL ที่ต้องการ (ส่วนใหญ่ชื่อมักจะซ้ำ ให้เพื่อนๆ อดทนหาชื่อดีๆ จำง่ายๆ กันหน่อยนะคะ) เรียบร้อยแล้วคลิกที่ปุ่ม Save
เลือก Skin สวยๆ กันเถอะ

Skin (สกิน) คือ หน้ากาก หรือรูปร่างหน้าตาของ hi5 ที่เพื่อนๆ สามารถเลือกมาตกแต่ง hi5 ของเราให้ดูสวยงามขึ้นได้

1.) Sign in เข้า hi5 ก่อนค่ะ จากนั้นคลิกที่เมนู Skin my Profile

2.) มี Skin มากมายให้เพื่อนเลือกไปแต่ง หากต้องการทดสอบดูก่อนก็ให้คลิกที่ปุ่ม Preview หรือถ้าต้องเลือกใช้เลยก็ให้คลิกปุ่ม Use Skin เรายังสามารถที่จะเลือกskinอื่นๆ ได้อีกมากมายโดยคลิกที่ปุ่ม Next ค่ะ

3.) ถ้าวันนึงเกิดเบื่อ Skin เดิมๆ เราก็สามารถเปลี่ยนใหม่ได้โดยคลิกที่ Change my Skin จากนั้นก็เข้าเลือก Skin ใหม่ๆ กันได้เลยค่ะ

ใส่ลูกเล่นสวยๆ ด้วย Widget

Widget เป็นโปรแกรม เล็กๆ สวยๆ ที่เราสามารถนำมาใส่ใน hi5 เพื่อเพิ่มจุดเด่นและความน่าสนใจค่ะ และเนื่องจาก Widget มีอยู่บนอินเทอร์เน็ต มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย ในบทความนี้จึงขอยกตัวอย่างการติดตั้งWidgetบางตัวที่เห็นว่าน่าใช้และได้รับความนิยมสูงค่ะ

1.) Log in เข้า hi5 ก่อนค่ะ จากนั้นคลิกที่เมนู Add A Widget

2.) เมื่อคลิกเข้ามาแล้ว จะพบกับ widget หลายตัว ทั้ง สไลด์รูปภาพ , คลิปวิดีโอ , เกม Glitter Text สามารถเลือกใส่ได้ตามใจชอบ ในที่นี้ขอแนะนำ การทำสไลด์รูปภาพ ด้วย Widget ยอดฮิต ที่ชื่อ Slide Shows ค่ะ

3.) จะเข้าสู่เว็บ Slide.com เริ่มต้นด้วยการคลิกเมนู My Files เพื่อเข้าไปเลือกรูปภาพทำการสร้างสไลด์

4.) ขั้นตอนถัดมา ให้คลิกที่ปุ่ม Browse และเมื่อเลือกรูปภาพจากในเครื่องของเรา

5.) ได้รูปมาครบแล้วเราก็ทำการอัพโหลดโดยคลิกที่ปุ่ม Upload faster -- click here! ดังรูป

6.) ตอนนี้อัพโหลดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

7.) คลิกที่ปุ่ม SAVE (get code)

8.) คลิกที่ปุ่ม ADD To hi5

9.) จากนั้นจะพบหน้าต่าง Congratulation ให้คลิกที่ Return To hi5 เพื่อกลับมาที่ hi5 ของเรา สไลด์โชว์ที่ได้จะไปอยู่เข้าไปอยู่ในกล่อง Widget เรียบร้อยแล้วค่ะ เท่านี้เพื่อนๆ ก็ได้สไลด์โชว์เก๋ๆ ไว้ประดับ hi5 ขอเราแล้วล่ะค่ะ

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีเร่งผมยาวเร็วขึ้น

ใครที่ผมสั้นแล้วต้องการให้ผมยาวเร็วขึ้น วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...
- ออกกำลังกายให้เส้นผม เร่งให้ผมยาวด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้ 30 วินาที ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย
- เพิ่มโปรตีน โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้
- กินปลา ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย
- เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ
- แปรงให้ถูก หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซีกใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน
- ตัดผมบ้าง การเล็มผมบ่อย ๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น และยังถือว่าเป็นการกำจัดผมแตกปลายไปในตัวด้วย
- ต่อผมก็ได้ ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์จะดีกว่า
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากผมยาวเร็ว ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันดูได้.

หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์

ระบบการทํางานของคอมพิวเตอร์
การทํางานของคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1. หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) ทําหน้าที่ในการรับข้อมูลหรือคําสั่งจากภายนอกเข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจํา เพื่อเตรียมประมวลผลข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการนําข้อมูลที่ใช้กันอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น มีอยู่หลายประเภทด้วยกันสําหรับอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี ดังต่อไปนี้ - Keyboard - Mouse - Disk Drive - Hard Drive - CD-Rom - Magnetic Tape - Card Reader - Scanner 2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) ทํ าหน้าที่ในการคํานวณและประมวลผล แบ่งออกเป็น 2 หน่วยย่อย คือ - หน่วยควบคุม ทําหน้าที่ในการดูแล ควบคุมลําดับขั้นตอนของการประมวลผล และการทํางานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในหน่วยประมวลผลกลาง และช่วยประสานงานระหว่างหน่วยประมวลผลกลาง กับอุปกรณ์นําเข้าข้อมูล อุปกรณ์ในการแสดงผล และหน่วยความจําสํารอง - หน่วยคํานวณและตรรก ทําหน้าที่ในการคํานวณและเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ ที่ส่งมาจากหน่วยควบคุม และหน่วยความจํา
3. หน่วยความจํ า (Memory) ทําหน้าที่ในการเก็บข้อมูลหรือคําสั่งต่างๆ ที่รับจากภายนอกเข้ามาเก็บไว้ เพื่อประมวลผลและยังเก็บผลที่ได้จากการประมวลผลไว้เพื่อแสดงผลอีกด้วย ซึ่งแบ่งออกเป็น หน่วยความจํา เป็นหน่วยความจําที่มีอยู่ ในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ ทําหน้าที่ในการเก็บคําสั่งหรือข้อมูล แบ่งออกเป็น - ROM หน่วยความจําแบบถาวร - RAM หน่วยความจําแบบชั่วคราว - หน่วยความจําสํารอง เป็นหน่วยความจําที่อยู่นอกเครื่อง มีหน้าที่ช่วยให้หน่วยความจําหลักสามารถเก็บ ข้อมูลได้มากขึ้น
4. หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทําหน้าที่ในการแสดงผลลัทธ์ที่ได้หลังจากการคํานวณและประมวลผล สําหรับอุปกรณ์ที่ ทําหน้าที่ในการแสดงผลข้อมูลที่ได้นั้นมีต่อไปนี้ - Monitor จอภาพ - Printer เครื่องพิมพ. - Plotter เครื่องพิมพ์ที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการลงกระดาษ
แหล่งที่มา:
http://www.geocities.com/kunkroo_computer/intro5.html
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
เมนบอร์ด (Mainboard, mother board) หรือ แผงวงจรหลัก เป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่อยู่ภายในเครื่อง เมื่อเปิดฝาเครื่องออกมาจะเป็นแผงวงจรขนาดใหญ่วางนอนอยู่ นั่นคือส่วนที่เรียกว่า "เมนบอร์ด"ส่วนประกอบหลักที่สำคัญบนเมนบอร์ดคือ
ซ็อคเก็ตสำหรับซีพียู
ชิปเซ็ต (Chip set)
ซ็อคเก็ตสำหรับหน่วยความจำ
ระบบบัสและสล็อต
Bios
สัญญาณนาฬิกาของระบบ
ถ่านหรือแบตเตอรี่
ขั้วต่อสายแหล่งจ่ายไฟ
ขั้วต่อสวิทช์และไฟหน้าเครื่อง
จัมเปอร์สำหรับกำหนดการทำงานของเมนบอร์ด
ขั้วต่อ IDE
ขั้วต่อ Floppy disk drive
พอร์ตอนุกรมและพอร์ตขนาน
พอร์ตคีย์บอร์ดและเมาส์
พอร์ต USB

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีแก้สิว

น้ำมะนาว รักษาสิวด้วย"วิธีธรรมชาติ" ... หาได้จากตู้เย็นในครัวที่บ้านใช้น้ำมะนาวเพื่อบรรเทา / รักษาสิว เป็นวิธีธรรมชาติในการรักษาสิวที่ง่ายและปลอดภัยสามารถใช้ได้ทั้งทาบนผิวและดื่ม ทั้งสองวิธีจะช่วยลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นทั้งภายนอกและภายใน ได้มีทดลองใช้น้ำมะนาวทั้งสองวิธีแล้ว (ทาโดยตรงบนผิวหน้า และดื่ม) และพบว่าภายใน 3 สัปดาห์ สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าการผสมน้ำมะนาวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน จะช่วยให้ผลเร็วขึ้นทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิวน้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วยสูตรน้ำมะนาว / วิธีใช้1.ล้างหน้าให้สะอาด2.บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป3.ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง4.ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)5.หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นวิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิวสามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่ายความจริงแล้วการรักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ :-ขจัดกรดต่าง ๆ ที่ตกค้างออกไป เพราะน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ (วิตามินซี, โพแทสเซียม)-บรรเทาอาการท้องผูก-ทำความสะอาดตับด้วยกรดซิตริก และสร้างเอนไซม์เพื่อขจัดสารพิษในเลือด-ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร-กำจัดนิ่วในไต และตับอ่อนการรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 11.บีบน้ำมะนาว 1 ผลลงในแก้ว2.เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยละ 8 ออนซ์)3.ดื่มน้ำมะนาวที่ผสมนี้ได้ทั้งวันการรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 21.บีบน้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำอุ่นที่ต้มแล้ว 1 ถ้วย (8 ออนซ์)2.ดื่มเป็นสิ่งแรกของวัน ในตอนเช้า3.หลังจากดื่มน้ำมะนาว งดการดื่ม หรือรับประทานสิ่งใด ๆ ภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมะนาวได้ชำระล้างร่างกาย

เทคนิคการทำข้อสอบ

เมื่ออยู่ในห้องสอบ

เราควรจะอ่านคำสั่งอย่างระมัดระวัง และกรอกชื่อหรือรายละเอียดที่เราจำเป็นต้องกรอกบนหัวกระดาษข้อสอบให้ครบ
ข้อสอบแบบ"ปรนัย"
อ่านคำสั่งอย่างละเอียด
ถ้าทำในกระดาษคำตอบ ควรทำเครื่องหมายตามที่คำสั่งระบุไว้อย่างเคร่งครัด และทำ เครื่องหมายคำตอบให้ตรงกับข้อคำถาม
ควรดูตัวเลือกให้ทั่วที่จะเลือกข้อใดข้อหนึ่ง
ถ้าต้องเดา ควรเพิ่มโอกาสให้กับตัวเองโดยการตัดคำตอบที่ผิดออกไปให้มากที่สุดเท่า ที่จะทำได้
ถ้าข้อไหนที่ทำไม่ได้ให้ผ่านไปคิดข้อต่อไปก่อน เพื่อเป็นการประหยัดเวลา
หลังจากทำเสร็จ ควรตรวจดูว่าได้ตอบคำถามครบทุกข้อแล้ว
ข้อสอบแบบ"อัตนัย"
อ่านคำสั่งอย่างระมัดระวัง ให้มั่นใจว่าคำถามถามเกี่ยวกับอะไรและจะต้องตอบอย่างไร
กะเวลาให้ดี เพื่อที่จะทำข้อสอบได้ทันเวลา ถ้ามีเวลาเหลือเราก็ควรจะตรวจสอบคำตอ ของคุณให้ดี
จะต้องตอบคำถามละเอียดแค่ไหน โดยดูจาก
ให้ตอบอย่างสั้นเมื่อคำถามมีคำว่า "ระบุ" หรือ "เขียนเป็นข้อๆ" หรือ "ชื่อ..."
ให้ตอบอย่างยาว ถ้าคำถามถามด้วยคำว่า"อธิบาย.."หรือ"บรรยาย.."หรือ"ทำไม.."
ดูคะแนนที่ให้ไว้ในคำตอบของแต่ละส่วน เราจะได้ทราบคะแนนที่ผู้ตรวจให้เราในแต่ ละข้อนั้น
จำนวนเส้นของช่องว่างอาจจะบอกใบ้ให้รู้ว่าควรเขียนคำตอบมากเท่าใด
พยายามตอบคำถามให้ครบทุกคำถาม

วิธีการลดความอ้วน

วิธีการลดความอ้วนแบบไม่ยุ่งยาก
1. ใช้จานชามสีเข้มขรึมเนื่อง จากภาชนะใส่อาหารที่มีสีสดใสจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น ดังนั้นเพื่อสกัดกั้นความอยากเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงมือกิน จึงควรจัดอาหารใส่ไว้ในภาชนะสีเข้มๆ อย่างเช่น สีดำ หรือสีน้ำเงินเข้ม จะเป็นการดีกว่า
2. รับประทานผักมากๆแบ่งสัด ส่วนการรับประทานอาหารในแต่ละวันของคุณออกเป็น 4 มื้อ และสามในสี่มื้อนั้นควรเป็นอาหารประเภทผักล้วนๆ คิดเสียว่าอย่างไรผักก็มีประโยชน์ และหากอยากลดหุ่นให้ได้จริงๆ ข้อนี้ห้ามละเลย
3. ดื่มน้ำเย็นๆเพราะน้ำเย็นๆ จะช่วยให้ร่างกายต้องดึงพลังงานความร้อนในตัวออกมาเพื่อปรับอุณหภูมิของน้ำ นั้นให้เหมาะสมกับอุณหภูมิในร่างกาย ด้วยเหตุนี้ขณะที่เราได้ดื่มน้ำเย็นๆร่างกายจึงต้องเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น
4. กินแต่อาหารที่ไม่ติดมันอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์ติดมัน หมูสามชั้นทอดกรอบ กุนเชียง กากหมู หนังไก่หรืออาหารที่ทอดด้วยน้ำมัน ควรจะงดเว้นให้เด็ดขาด หากยังไม่อยากสูญเสียทรวดทรงองค์เอวอันสวยงามสมส่วน
5. เลือกกินของหวานอย่างเหมาะสมขนม หวานๆอย่างทองหยิบ ฝอยทอง หม้อแกง เค้กหรือช็อกโกแลตเป็นของหวานที่อุดมไปด้วยนม เนย ไข่ และน้ำตาล แถมเวลาได้รับประทานแล้วจะรู้สึกเพลิดเพลินมีความสุข ทำให้ทานชิ้นเดียวหยุดไม่ได้ ฉะนั้นหากต้องการลดน้ำหนักก็จงตัดอกตัดใจเสียเถอะ ทางที่ดีควรหันมารับประทานลูกพลับ หรืออินทผลัมอบแห้งจะสามารถช่วยป้องกันอาการอยากของหวานเหล่านั้นได้
6. งดใส่ครีมในกาแฟแม้ ครีมเทียมจะทำให้รสชาติของกาแฟกลมกล่อมขึ้น แต่คิดดูสิ ครีมเทียมเพียง 1 กรัม สามารถให้พลังงานสูงถึง 9 แคลอรี แล้วกาแฟที่คุณดื่ม ใส่ครีมกี่ช้อนต่อแก้ว ถ้าวันหนึ่งคุณดื่มกาแฟสัก 3-4 แก้ว ร่างกายจะได้รับแคลอรี่โดยไม่รู้ตัวมากมายขนาดไหน
7. สลัดน้ำข้น ไขมันเพียบ!คุณ บอกว่ารับประทานแต่สลัด แต่ทำไมยังอ้วนอีก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะน้ำสลัดที่คุณเลือกรับประทาน ล้วนเป็นน้ำสลัดข้นๆที่อุดมไปด้วยครีมนม และไขมันนม ถ้ารับประทานอย่างนี้แล้ว จะผอมได้อย่างไรละคะ
8. ซดน้ำแกงจืดก่อนอาหารเป็น ความคิดที่ดีที่จะจัดการกับน้ำแกงจืดหรือไม่ก็ดื่มน้ำสักแก้วสองแก้วก่อนรับ ประทานอาหาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณรู้สึกอิ่มกับอาหารตรงหน้า แต่ถ้าหากยังสามารถกินอาหารได้อีก ก็จะกินได้ในปริมาณที่น้อยลง
9. เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาวข้าว เป็นอาหารหลักที่เราต้องรับประทานเกือบทุกมื้ออยู่แล้ว และถ้าหากได้รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว เราก็จะไม่ได้เพียงแค่คาร์โบไฮเดรตเฉยๆ แต่ยังได้ทั้งวิตามินและเกลือแร่ต่างๆมากมายจากเยื่อหุ้มและจมูกข้าวที่ไม่ ได้ถูกขัดสีออกไปด้วย
10. เลิกนิสัยกินจุบกินจิบอย่า สร้างความเคยชินให้กับตัวเองด้วยการกินนั่นกินนี่ไม่เป็นเวล่ำเวลาอยู่ เรื่อยไป แต่ควรกินอาหารเป็นมื้อเป็นคราวเท่านั้น โดยเฉพาะเวลานั่งอยู่หน้าจอทีวีไม่ควรจหาขนมกรุบกรอบ อาทิเช่น มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบหรือคุ้กกี้ กินไปดูทีวีไปตลอดเวลา เพราะจะทำให้กินเพลินจนลืมเรื่องอ้วน
11. หาเพื่อนร่วมลดการ ลดน้ำหนักคนเดียว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกท้อแท้ แต่ถ้ามีเพื่อนหัวอกเดียวกันที่มุ่งมั่นจะรีดไขมันส่วนเกินออกจากชีวิต เหมือนกัน จะช่วยทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะ อย่างน้อยๆคุณก็ยังรู้สึกว่า "ฉันไม่ได้เป็นคนอ้วนที่ต้องลดน้ำหนักอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย"
12. ดินเนอร์ใต้แสงเทียนภายใต้แสงเทียนนอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูโรแมนติกขึ้นแล้ว ท่ามกลางแสงสลัวๆแบบนั้นยังทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลงอีกด้วย
13. อาหารมื้อเช้าอาหาร มื้อไหนๆก็ไม่สำคัญเท่ากับมื้อเช้า ทั้งนี้เพราะช่วงเวลาตั้งแต่ 6 โมงถึง 10 โมงเช้า เป็นช่วงที่ระบบการเผาผลาญสารอาหารภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สูงสุด ดังนั้นจึงควรกินอาหารเช้าใด้เต็มที่ ส่วนมื้อเย็นให้กินแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
14. ไม่กักตุนอาหรเต็มตู้เย็นทั้งนี้เพราะจะทำให้คุณหาของกินได้ง่ายและสะดวกสบายเกินไป ยิ่งมีของกินในตู้เย็นมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งกินตามใจปากมากขึ้นเท่านั้น
15. ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานผล ไม้อย่างแอปเปิ้ล ส้ม ฝรั่ง กีวี สตรอเบอร์รี่ สับปะรด มะม่วงหรือมะเขือเทศ นับเป็นผลไม้ที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รักษาหุ่นอย่างแท้ จริง เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งวิตามินซีคุณภาพสูงจากธรรมชาติแล้ว
16. ดื่มตบท้ายด้วยชามะนาวหลัง อาหารแต่ละมื้อควรดื่มชามะนาวตบท้าย จะสามารถช่วยชะล้างปากจากอาหารคาว หรืออาหารมันๆเลี่ยนๆได้ดีกว่าดื่มน้ำเปล่าธรรมดา แถมยังสามารถช่วยยุติความอยากอาหารเรื่อยเปื่อยของคุณอย่างได้ผลด้วย
17. ออกกำลังกายการ ออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรีให้กลายเป็นพลังงาน ได้คราวละมากๆ ฉะนั้นจึงควรเตือนตัวเองให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ ซึ่งนอกเหนือจากเล่นกีฬาเป็นงานอดิเรกแล้ว ก็ควรหมั่นฝึกตนให้เป็นคนชอบเดิน ชอบทำงานบ้าน และชอบขึ้นลงบันได
18. กิจวัตรแรกสุดของทุกๆวันหลัง จากตื่นนอนตอนเช้า กิจวัตรแรกสุดที่ควรทำทันทีก็ไม่ใช่อะไรอื่น นั่นก็คือดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถดื่มได้ ทั้งนี้ก็เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นขึ้น และช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักทั้งเบาทำงานได้อย่าง คล่องตัว
19. ชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้งเมื่อ ปฎิบัติได้ตามคำแนะนำดังกล่าวข้างต้นแล้ว ควรติดตามผลการลดหุ่น ด้วยการเปลือยกายสำรวจตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำส่วนตัว และชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้งก็พอ ไม่จำเป็นจะต้องชั่งทุกๆวัน เพราะการทำเช่นนั้นรังแต่จะทำให้รู้สึกเครียดและคับข้องใจที่น้ำหนักไม่มี การเปลี่ยนแปลงให้เห็นผลได้ทันตา
20. อย่าลืมให้รางวัลกับตัวเองหลัง จากที่สามารถขจัดไขมันส่วนเกินในร่างกายให้ลดลงไปได้สำเร็จ (แม้จะลงไปเพียงเล็กน้อยก็ตาม) คุณก็สามารถจะให้รางวัลกับตัวเองด้วยการไปนวดหน้า นวดตัว ขัดผิวและบำรุงผิว เพียงเท่านี้หน้าตาและผิวพรรณคุณก็จะแลดูสดใสและปิ๊งปั๊งขึ้นมาทันตาเห็น

โทษของสารเสพติด

ความหมายของยาเสพติด ยาเสพติดให้โทษ หรือสิ่งเสพติดหมายถึง ยาหรือสารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายแล้วไม่ว่าจะโดยรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือวิธีใดก้ตาม ทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจ ดังนี้1. ต้องการยาเสพติดตลอดเวลา แสดงออกทางร่างกายและจิตใจ2. ต้องเพิ่มขนาดของยาเสพติดมากขึ้น3. มีอาการหยากหรือหิวยาเมื่อขาดยา (บางท่านจะมีอาการถอนยาเมื่อขาดยา)4. สุขภาพทั่วไปทรุดโทรมถ้าพบเห็นบุคคลที่มีพฤติกรรม 4 ประการ ให้พึงสังเกตว่าอาจจะเป็นคนที่ใช้ยาเสติด
ประเภทของยาเสพติดปัจจุบันสิ่งเสพติดหรือยาเสพติดให้โทษมีหลายประเภท อาจจำแนกได้หลายเกณฑ์ นอกจากแบ่งตามแหล่งที่มาแล้ว ยังแบ่งตามการออกฤทธิ์และแบ่งตามกำกฎหมายดังนี้ก.จำแนกตามสิ่งเสพติดที่มา1. ประเภทที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน กระท่อม กัญชา2. ประเภทที่ได้จากการสังเคราะห์ เช่น เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาม้า แอมเฟตามีน สารระเหยข.จำแนกสิ่งเสพติดตามกฎหมาย1. ประเภทถูกกฎหมาย เช่น ยาแก้ไอน้ำดำ บุหรี่ เหล้า กาแฟ ฯลฯ2. ประเภทผิดกฎหมาย เช่น มอร์ฟีน ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา กระท่อม แอมเฟตามีน ฯลฯค.การจำแนกสิ่งเสพติดตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง1.ประเภทกดประสาท เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยากล่อมประสาท ยาระงับประทสาท ยานอนหลับ สารระเหย เครื่องดื่มมึนเมา เช่นเหล้า เบียร์ ฯ2. ประเภทกระตุ้นประสาท เช่น แอมเฟตามีน ยาม้า ใบกระท่อม บุหรี่ กาแฟ โคคาอีน3. ประเภทหลอนประสาท เช่น แอล เอส ดี,เอส ที พี,น้ำมันระเหย4. ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน อาจกด กระตุ้น หรือหลอนประสาทผสมรวมกันได้แก่ กัญชา
สาเหตุที่ทำให้เกิดยาเสพติด 1. ติดเพราะฤทธิ์ของยา เมื่อร่างกายมนุษย์ได้รับยาเสพติดเข้าไปฤทธิ์ของยาเสพติดจะทำให้ระบบต่างๆของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถ้าการใช้ยาไม่บ่อยหรือนานครั้ง ไม่ค่ยมีผลต่อร่างกาย แต่ถ้าใช้ติดต่อเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งจะทำให้มีผลต่อร่างกายและจิตใจ มีลักษณะ 4 ประการ คือ1.1 มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเสพยาหรือสารนั้นอีกต่อไปเรื่อๆ1.2 มีความโน้มเอียงที่จะเพิ่มปริมาณของยาเสพติดขึ้นทุดขณะ1.3 ถ้าถึงเวลาที่เกิดความต้องการแล้วไม่ได้เสพ จะเกิดอาการอยากยา หรืออาการขาดยา เช่น หาว อาจียน น้ำตาน้ำมูกไหล ทุรนทุราย คลุ้มคลั้ง โมโห ขาสติ1.4 ยาที่เสพนั้นจะไปทำลายสุขภาพของผู้เสพทั้งร่างกาย ทำให้ซูบผอม มีโรคแทรกซ้อน และทางจิตใจ เกิดอาการทางประสาท จิตใจไม่ปกติ 2. ติดยาเสพติดเพราะสิ่งแวดล้อม2.1 สภาพแวดล้อมภายนอกของบ้านที่อยู่อาศัย เต้มไปด้วยแหล่งค้ายาเสพติด เช่น ใกล้บรเวณศูนย์การค้า หน้าโรงหนัง ซึ่งเป็นการซื้อยาเสพติดทุกรูปแบบ2.2 สิ่งแวดล้อมภายในบ้านขาดความอบอุ่น รวมไปถึงปัญหาชีวิตคนในครอบครัวและฐานะทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมจะทำให้เด้กหันไปพึ่งยาเสพติด การขาดความเอาใจใส่ดูแลจากพ่อแม่ และขาดการยอมรับจากครอบครัว เด็กจะหันไปคบเพื่อนร่อมกลุ่มเพื่อต้องการความอบอุ่น สภาพของกลุ่มเพื่อน สภาพของเพื่อนบ้านใกล้เคียง2.3 สิ่งแวดล้อมทางโรงเรียน เด็กมีปัญหาทางการเรียน เนื่องจากเรียนไม่ทันเพื่อน เบื่อครู เบื่อโรงเรียน ทำให้หนีโรงเรียนไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ตนพอใจ เป็นเหตุให้ตกเป็นเหยื่อของการติดยาเซบติด3. ติดเพราะความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจในสังคมที่วุ่นวายสับสน เปลี่ยนแปลงรวดเร้วดังเช่นปัจจุบัน ทำให้จิตใจผิดปกติง่าย หากเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอในทุกด้าน ทั้งอารมณ์และสติปัญญา รวมทั้งร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรงก็จะหาสิ่งยึดเหนี่ยว จะตกเป้นทาสยาเสพติดได้ง่าย ผู้ที่มีอารมณ์วู่วามไม่ค่อยยั้งคิดจะหันเข้าหายาเสพติดเพื่อระงับอารมณ์วู่วามของตน เนื่องจากยาเสพติดมีคุณสมบัติในการกดประสาทและกระตุ้นประสาท ผู้มีจิตใจมั่นคง ขาดความมั่นใจ มีแนวโน้มในการใช้ยาเพื่อบรรเทาความวิตกกังวลของตนให้หมดไปและมีโอกาสติดยาได้ง่ายกว่าผู้อื่น
วิธีสังเกตผู้ติดยาหรือสารเสพติด1. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย สุขภาพทรุดโทรม ผอมซีด ทำงานหนักไม่ไหว ริมฝีปากเขียวคล้ำและแห้ง ร่างกายสกปรกมีกลิ่นเหม็น ชอบใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่แว่นดำเพื่อปกปิด2. การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ อารมณ์หงุดงิดง่าย พูดจาร้าวขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ มั่วสุมกับคนที่มีพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด สุบบุหรี่จัด มีอุปกรณ์เกี่ยวกับยาเสพติด หน้าตาซึมเศร้า ขาดความเชื่อมั่น จิตใจอ่อนแอ ใช้เงินเปลือง สิ่งของภายในบ้านสูญหายบ่อย3. แสดงอาการอยากยาเสพติด ตัวสั่น กระตุก ชัก จาม น้ำหมูกไหล ท้องเดิน ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดที่เรียกว่า "ลงแดง" มีไข้ปวดเมื่อยตามร่างกายอย่างรนแรงนอนไม่หลับ ทุรนทุราย4. อาสัยเทคนิคทางการแพทย์ โดยการเก็บปัสสาวะบุคคลที่สงสัยว่าจะติดยาเสพติดส่งตรวจ ใช้ยาบางชนิดที่สามารถล้างฤทธิ์ของยาเสพติด

สภาพจิตใจของผู้ใหญ่

สภาพจิตใจของเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุแพทย์หญิงศรีประภา ชัยสินธพ
สภาพชีวิตในปัจจุบัน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของภาวะสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม เป็นยุคของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่มีทั้งผลดีและผลเสีย ทำให้เราทุกคนต้องพยายามปรับตัวต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะได้อยู่กับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ แต่เนื่องจากความสามารถของแต่ละคนมีขอบขีดจำกัด บางครั้งเมื่อประสบปัญหา จึงทำให้เกิดความวิตกกังวล ท้อแท้ สิ้นหวัง เบื่อหน่าย นักสังคมวิทยาบางคนให้สมญายุคนี้ว่า"ยุคแห่งความวิตกกังวล" การมีสุขภาพที่ดีนั้น ย่อมหมายถึง ภาวะที่สมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจ ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย และดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างดี ไม่มีความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว ได้กล่าวว่า "สุขภาพจิต คือ สภาพชีวิตที่เป็นสุขมีอารมณ์มั่นคง สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงมากๆได้ มีสมรรถภาพในการทำงาน และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยความพอใจ" การเรียนรู้เรื่องของจิตใจ ก็จะช่วยให้เข้าใจชีวิต เข้าใจตนเอง และผู้อื่นมากขึ้น
สภาพจิตใจของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร ปกติหรือไม่ พอที่จะประเมินได้ โดยการพิจารณาองค์ประกอบต่อไปนี้
1. ความต้องการ ความต้องการนี้แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แล้วแต่สภาพแวดล้อม ถ้าความต้องการได้รับการตอบสนอง ก็จะทำให้เกิดความพึงพอใจ ถ้าไม่ได้ก็เกิดความคับข้องใจ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาทั้งด้านร่างกายและจิตใจได้
2. เป้าหมายของชีวิต ทุกคนมีความคาดหวัง ตั้งเป้าหมายชีวิตของตนไว้ทำให้มีกำลังใจทำกิจกรรมการงานต่างๆ ถ้าเป้าหมายนี้เป็นจริง ก็จะทำให้รู้สึกพอใจ เป็นสุข ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นก็จะผิดหวังและเป็นทุกข์ เป้าหมายนี้อาจจะมากจนทำให้เกิดความยากลำบากในการปรับตัวได้
3. การรู้จักตัวเองและยอมรับตัวเอง รู้ความสามารถ ความต้องการความสนใจ บุคลิกภาพ ปมเด่นปมด้อยของตน ยอมรับตัวเอง มีความเชื่อมั่น มีความหวัง และรู้จักหาวิธีแก้ไขปรับปรุงตนเอง อดทนต่อปัญหา อุปสรรคต่างๆ
4. การเจริญเติบโต และพัฒนาการทางร่างกาย ที่เป็นไปตามปกติ ทำให้มีพัฒนาการทางจิตควบคู่กันไปอย่างสมดุล ถ้าเกิดความผิดปกติทางกาย ก็อาจมีปัญหาทางจิตใจได้
5. การควบคุมอารมณ์ พฤติกรรมของบุคคลแทบจะทุกพฤติกรรมได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อการทำงานของร่างกายด้วย ผู้ที่สามารถรักษาและควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกติให้ได้มากที่สุด จึงนับว่ามีสุขภาพจิตดี
6. ความรัก ความรักมีอิทธิพลต่อการแสดงออกที่ดี ต่อตนเองและต่อบุคคลอื่น ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ทำให้บุคคลมีคุณค่าและเจริญขึ้น ทำให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
7. ความสุข ลักษณะของคนที่มีความสุข คือ การชอบติดต่อกับคนอื่น ให้
ความร่วมมือ ร่วมแสดงความคิดเห็น ยิ้มแย้มแจ่มใส ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในบรรทัดฐานของสังคม สามารถดำเนินชีวิตไปกับผู้อื่นได้ดี
8. การยอมรับความจริง เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้คนเรารู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ได้ ผู้ที่ยอมรับความจริงทำให้สามารถยอมรับความผิดหวัง การสูญเสียได้ โดยไม่ตีโพยตีพาย กล้าที่จะเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ และยอมรับผลที่เกิดขึ้นอย่างหน้าชื่นตาบานลักษณะของผู้ที่มีสุขภาพจิตดี

สภาพจิตใจของวัยรุ่น

สภาพจิตใจของวัยรุ่น
วัยรุ่นเป็นวัยของการเร่งเจริญเติบโตทั้งในทางชีวะ สรีระ และจิตวิทยา
เป็นวัยเร่งสร้างสุขนิสัย เร่งปรับตัว เร่งทางวิชาการ และเริ่มเลือกอาชีพ สรุปแล้วเป็น
การเร่งเจริญเติบโตทุกๆด้าน คำว่า adolescent มาจากภาษาลาติน adolescere
ซึ่งหมายความว่า to grow up4 มีวัยรุ่นและพ่อแม่ของวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่ต้องเดือดร้อน
วุ่นวายไปกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายนี้ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีวัยรุ่นอีกจำนวนมากที่
ผ่านระยะของวัยนี้ไปได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด Erikson เป็นผู้หนึ่งที่มองว่าสิ่งต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดปกติหรือเรื่องที่น่าจะเดือดเนื้อร้อนใจมาก
มายนัก ถึงแม้ Erikson จะใช้คำว่า "identity crisis" ในการบรรยายถึงวัยรุ่น
เขาก็หมายถึงช่วงระยะหนึ่งของพัฒนาการตามปกติ และคำนี้ก็กลายเป็นที่ยอมรับและใช้กัน
โดยทั่วไป5
การแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเอง(Identity Versus Role Confusion :12-20 ปี)
การปรับตัวของวัยรุ่นเป็นพัฒนาการต่อจากวัยเด็ก แต่วัยรุ่นจะต้องเผชิญกับ
ความคาดหวังของผู้อื่นมากกว่าสมัยเมื่อเขายังเด็ก การเปลี่ยนแปลงจากเด็กที่พึ่งพาอาศัย
พ่อแม่ไปเป็นคนที่กำลังจะเริ่มเป็นผู้ใหญ่ จะเริ่มรับผิดชอบตัวเอง ทำให้วัยรุ่นต้องมีการปรับ
ตัวทางอารมณ์และสังคมอย่างมาก มีการสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง สร้างทัศนคติ และค่า
นิยมแห่งชีวิต เมื่อเริ่มห่างจากพ่อแม่ มิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงก็กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
อย่างหนึ่งของวัยรุ่น การแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเองนี้ Erikson เรียกว่าเป็น iden-
tity crisis หรือวิกฤตการณ์แห่งการแสวงหาเอกลักษณ์ มีการมองตน และเห็นตนเอง
ตามที่ผู้อื่นเห็น เรียนรู้และยอมรับความสามารถของตน เลือกเอาความเป็น "ตน" เหมือน
ตัวละคร เลือกสวมหน้ากาก ซึ่งตนจะแสดงบทบาทได้เหมาะสม เช่นเดียวกับการสวมหัว
โขนของไทย4 เรียนรู้และสร้างเอกลักษณ์ของตนขึ้นมา
การยอมรับตนขึ้นอยู่กับการใช้สติปัญญาของผู้นั้นด้วย ถ้ามีเหตุมีผลใช้สติปัญญาก็
จะเข้าใจตัวเองตามที่เป็นจริง (realistic) ถ้าใช้อารมณ์อย่างเดียวก็จะมองเห็นตน
ตามที่ตนอยากจะเป็น (ideal self) ผู้ที่ใช้สติปัญญาย่อมมองเห็นความแตกต่างระหว่าง
ตัวเองจริงๆ กับตัวเองในอุดมคติ การมองเห็นตัวเองนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากสังคม
วัฒนธรรมที่แวดล้อมตนอยู่ ถ้าพ่อแม่เพื่อนฝูงยอมรับ ก็จะเกิดความมั่นใจในตัวเอง ถ้าเข้า
กับใครไม่ได้ ก็ทำให้เกิดความสงสัยไม่มั่นใจ และไม่เชื่อว่าผู้อื่นจะยอมรับตนต่อไป
อารมณ์ของเด็กวัยรุ่น
อารมณ์ของเด็กวัยรุ่นมักเป็นผลสืบเนื่องมาจากระยะก่อนวัยรุ่น โดยบางครั้ง
อาจเพิ่มความรุนแรงขึ้นบ้าง3 เด็กวัยนี้มักจะมีความรู้สึกที่เปิดเผย เชื่อมั่นในตนเอง รู้สึก
ว่าตนมีความสุข แต่ในบางครั้งก็อาจจะหดหู่ มีความสงสัยอยู่ตลอดเวลาได้ รู้สึกชอบและไม่
ชอบรุนแรง ไม่ค่อยจะยอมใครง่ายๆ แต่บางครั้งก็จะโอบอ้อมอารี บางครั้งก็เป็นคนเห็นแก่
ตัวแบบเด็กๆ มักจะมีความรู้สึกนึกคิดขัดแย้งกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ ถ้าพ่อแม่ให้โอกาสเด็กวัยรุ่น
ได้แสดงความเห็น ก็จะช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการขึ้นทีละน้อยถ้าไม่เปิดโอกาสเลย เด็กจะ
เกิดความเครียด และเกิดปัญหาทางอารมณ์ตามมา เวลาที่อยู่บ้านเด็กวัยรุ่นมักจะชอบอยู่ใน
ห้องส่วนตัวตามลำพัง ไม่ชอบให้ใครรบกวน แต่เวลาอยู่กับเพื่อนๆจะชอบช่วยเหลือให้คำ
แนะนำเพื่อนฝูง ชอบคบกันเป็นกลุ่มๆ ชอบให้เพื่อนฝูงยอมรับและยกย่อง เวลาที่เด็กวัยรุ่น
อยู่บ้าน พ่อแม่มักจะเห็นว่าเป็นเด็กอยู่เสมอ เด็กเองก็ไม่ชอบการบังคับ และมักจะมีข้อขัด
แย้งอยู่ภายในใจของเด็กเสมอ เช่น บางครั้งก็อยากเป็นผู้ใหญ่ จะได้ทำอะไรได้ตามใจ
ตนเอง บางครั้งก็อยากจะมีคนดูแล อยากจะสบายแบบเด็กๆอีก อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก
เด็กกำลังเติบโตไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ มีความต้องการที่จะพึ่งพาตนเอง จึงทำให้เด็กมักจะ
ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ต่างๆในครอบครัว ไม่เห็นด้วยกับพ่อแม่ ทั้งๆที่ยังคงต้องการความสนใจจาก
พ่อแม่อยู่ ทั้งนี้ เพราะต้องการความเป็นอิสระนั่นเอง บ่อยครั้งที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นจาก
เรื่องเล็กๆ เช่น การแต่งกาย ถ้าพ่อแม่เข้มงวดมากก็จะทำให้เด็กเกิดความเครียดมากขึ้น
ความต้องการที่สำคัญอย่างหนึ่งของเด็กวัยนี้ คือ ต้องการให้คนอื่นๆยอมรับ
ความเป็นเพศชายหรือเพศหญิงของตน ต้องการมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเพื่อนๆเพศเดียวกัน
ในกลุ่ม3 ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ต้องการให้เพื่อนๆรู้สึกประทับใจในพฤติกรรมของ
ตน เด็กวัยรุ่นจะรู้สึกนิยมความกล้าหาญของหญิงหรือชายที่มีชื่อเสียงดีเด่น และต้องการมีบท
บาทแบบผู้ใหญ่ด้วย
เด็กวัยรุ่นมักจะเอาใจใส่กับรูปร่างหน้าตาของตนมากขึ้น นึกถึงความเปลี่ยน
แปลงของตนอยู่ตลอดเวลา รู้สึกกังวลใจกับความเก้งก้างของตน ไม่พอใจรูปร่างหน้าตา
แม้ผู้ใหญ่จะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญนัก แต่เด็กเองจะกังวลใจมากเพราะต้องการให้ตนนั้น
เป็นที่ยอมรับของเพื่อนฝูง การที่เด็กวัยรุ่นมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงง่ายและรุนแรง ก็เพราะมี
ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเกิดขึ้นไปทางแบบผู้ใหญ่ เด็กก็สนใจจะทำตามแบบอย่างของ
ผู้ใหญ่ ซึ่งบางครั้งก็ทำได้ไม่เหมาะสมหรือไม่เข้าใจ ผู้ใหญ่ก็จะมองว่ายังเป็นเด็กอยู่ ทำให้
ขัดแย้งกันบ่อยๆ นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงของต่อมไร้ท่อและอวัยวะภายใน ทำให้
เด็กกินจุขึ้น ออกกำลังมากขึ้น ต้องการพักผ่อนมากขึ้น ผู้ใหญ่อาจจะเข้าใจว่าเกียจคร้าน
เด็กวัยรุ่นเริ่มสนใจเพศตรงข้าม ต้องการพึ่งตนเองและหมู่คณะ จึงมักรวมกันเป็นกลุ่มเป็น
แก๊งค์ ถ้าผู้ใหญ่ขัดขวางก็ทำให้เกิดความเครียด หงุดหงิด อยากหลบออกนอกบ้าน หรือ
เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง การพยายามปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ และสิ่งแวดล้อม
ใหม่ๆ ทำให้เด็กวัยรุ่นมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง จะเกิดความคับข้องใจอยู่เสมอ
ความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของเด็กวัยรุ่น
ความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของวัยรุ่น มีผลสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลง
ทางร่างกายของเด็กนั่นเอง อาจจะแยกเป็นหลายแง่มุมดังนี้3
1. มีความต้องการใหม่ๆเกิดขึ้น และเป็นไปอย่างรุนแรง ต้องการอะไร
เมื่อไม่ได้ดังใจก็จะมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่น โกรธฮึดฮัด และจะพยายามหาความ
พอใจเอาทางใดทางหนึ่งให้ได้ ผู้ใหญ่มักกีดกันห้ามไม่ให้เด็กได้รับความสุขเพลิดเพลิน ทั้งๆ
ที่บางครั้งก็ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด
2. มีความรู้สึกทางเพศเกิดขึ้น เด็กจะมองเห็นความสวยงาม แต่จะพิถีพิถัน
ในการแต่งตัวเพื่ออวดเพศตรงข้าม การให้ความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องเพศจึงเป็นสิ่งสำคัญและ
จำเป็นในวัยรุ่น
3. เกิดความกังวลใจเรื่องการเจริญเติบโต ร่างกายเติบโตเร็ว จนทำให้
เด็กกังวลว่ารูปร่างจะใหญ่โตเทอะทะ บางคนจะอดข้าวบ้าง ยืนนั่งต้องงอๆเพื่อให้ตัวเล็ก
ลงบ้าง เด็กหญิงมักสวมเสื้อชั้นในคับๆรัดรูปทรงไม่ให้รู้สึกว่าเติบโตขึ้น เด็กชายกังวลเรื่อง
เสียงเปลี่ยนไป เป็นต้น
4. สติปัญญา ความคิดเจริญมากขึ้น สนใจแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพูน
ความสามารถ เริ่มเข้าใจความไพเราะ ความดี ความสวยงาม ความเจริญทางด้านนี้จะ
ค่อยเป็นค่อยไป
5. รู้จักรับผิดชอบและต้องการเป็นอิสระ เด็กเชื่อความสามารถของตนเอง
รักเกียรติยศชื่อเสียง สนใจทำสิ่งที่ดีงามและเป็นประโยชน์ ชอบแสดงความคิดเห็น และ
กระทำสิ่งต่างๆตามลำพัง ชอบทดลองสิ่งนั้นสิ่งนี้เรื่อยไป สิ่งใดที่พอใจก็รับเอาไว้ การเข้า
ใจเด็กวัยรุ่นและแนะนำให้รู้จักการตัดสินใจโดยถูกต้องเหมาะสม จึงนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ
6. อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย และรุนแรง ประเดี๋ยวรักประเดี๋ยวโกรธทำ
อะไรสำเร็จก็ดีใจ พลาดพลั้งก็เสียใจ กระตือรือร้น
7. มีจินตนาการมากขึ้น โดยถือตนเองเป็นคนสำคัญในจินตนาการ และมัก
เกี่ยวกับความรัก ความสำเร็จ ความปลอดภัย ความสงสารตนเอง ความตาย
8. ความเชื่อมั่นต่างๆเป็นไปอย่างรุนแรง เชื่ออะไรก็มักจะเชื่อเอาจริงๆ
จังๆ เช่น เชื่อเรื่องของความถูกต้อง ความดี แต่ในขณะเดียวกันก็จะเกิดระแวงไม่ยอม
เชื่ออะไรง่ายๆ นอกจากจะมีหลักฐานมาประกอบอ้างอิง
9. ความสนใจในการสมาคมมีมากขึ้น เข้าใจความสัมพันธ์และหน้าที่ที่ตนจะ
ต้องปฏิบัติ หมู่คณะมีอิทธิพลเหนือเด็ก เด็กวัยนี้จะคล้อยตามระเบียบปฏิบัติของหมู่คณะหรือ
สังคม ดังนั้น การจัดสิ่งแวดล้อม สโมสรสังคมสิ่งที่ดีงาม ก็จะเป็นประโยชน์แก่เด็ก
10. ประสาทและความรู้สึกด้านสัมผัสตื่นตัวขึ้นมาก เด็กจะสนใจดนตรี วรรณ
กรรม ศิลปกรรมต่างๆ ผู้ที่มีความเป็นพิเศษอยู่ทางด้านนี้บ้างแล้วก็จะก้าวหน้าไปมาก นิสัย
การกระทำหลายๆอย่างก็มักจะเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงหรือเลิกไปในวัยนี้ รวมทั้งนิสัยในการ
คิดและรู้สึกด้วย เช่น สร้างนิสัยอดทนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นต้น
พัฒนาการทางสังคมของเด็กวัยรุ่น
เด็กต้องการอิสระที่จะทำงานของตนเอง และการสังคมในกลุ่มเพื่อนก็จะกว้าง
ขึ้น มักจะอยู่เป็นกลุ่ม การได้ทำกิจกรรมร่วมกันจะเป็นรากฐานความสัมพันธ์ทางสังคมใน
อนาคต การที่เด็กเห็นอกเห็นใจผู้อื่น พยายามจะช่วยผู้อื่นจัดเป็นวุฒิภาวะที่เจริญขึ้น รู้จัก
เป็นผู้ให้และผู้รับระหว่างเพื่อนในวัยเดียวกันดีขึ้น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นตอนกลางจะมีความเชื่อ
มั่นในตนเองมากขึ้น จึงมักทำหรือแสดงความคิดไม่เหมือนกับคนอื่นๆเพราะเด็กต้องการเป็น
ตัวของตัวเองมากขึ้น อิทธิพลของหมู่คณะเริ่มลดน้อยลง
ความสนใจของเด็กวัยรุ่น3
1. ความสนใจเรื่องสุขภาพ ได้แก่ เรื่องการกิน การนอน การพักผ่อน
เสื้อผ้า ความสะอาด และการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ
2. ความสนใจเรื่องเพศ สนใจในการปรับปรุงตัวให้เข้ากับเพื่อนต่างเพศ
การปฏิบัติตนต่อเพศตรงข้าม การเลือกเพื่อนต่างเพศ เป็นต้น
3. ความสนใจในการเลือกอาชีพ ตอนแรกเด็กจะสนใจอาชีพในลักษณะ
เพ้อฝัน และสนใจหลายๆอาชีพ ต่อมาจึงจะสนใจอาชีพที่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา นอกจากนี้
อาชีพที่เขาสนใจเลือก จะเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับความสามารถของเขามากขึ้น
4. ความสนใจในกิจกรรมสันทนาการ เช่น กีฬา การแสดงศิลปะ งาน
อดิเรก เป็นต้น และเด็กวัยรุ่นมักจะเล่นเป็นกลุ่ม เป็นทีม มุ่งหวังความสำเร็จของทีม
มากกว่าของส่วนบุคคล
5. ความสนใจในการค้นคว้าและสร้างจินตนาการ เช่น การประดิษฐ์ การ
ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ การแต่งบทประพันธ์ การเขียนภาพ เป็นต้น
6. ความสนใจในการสร้างนิสัยการเรียนที่ดี เด็กวัยรุ่นจะพยายามคิดค้นว่า
ทำอย่างไรจึงจะเรียนได้ผลดี ทำงานให้มีประสิทธิภาพ ทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหายากๆได้
7. ความสนใจในเรื่องคุณสมบัติส่วนตัว เช่น บุคลิกภาพรูปร่างหน้าตา
ความสะอาดเรียบร้อย การสนทนาวางท่าทาง และคุณลักษณะอื่นที่จำเป็นในการเข้าสังคม
เช่น การเอื้อเฟื้อผู้อื่น
8. ความสนใจในเรื่องปรัชญาชีวิต เด็กวัยนี้เริ่มคิดถึงหลักของศีลธรรม
จรรยา จะทำอะไรก็เริ่มมีกฎเกณฑ์ มักจะมีอุดมคติ หรือสุภาษิตประจำตัว
พฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นซึ่งผู้ใหญ่มองว่าแปลกๆไม่ค่อยเหมาะสมนั้น แท้ที่จริง
เป็นปรากฎการณ์ธรรมดาของเด็กนั่นเอง ถ้าผู้ใหญ่เข้าใจก็จะสามารถให้คำแนะนำ จัด
ประสบการณ์ให้เด็กได้เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปในทางที่ดี และเหมาะสมกับสังคมและวัฒนธรรม
ก็จะเป็นการสร้างสมบุคลิกภาพที่ดีให้แก่เด็กแต่เริ่มต้น เพื่อให้เขาได้เป็นส่วนที่ดีของสังคม
และช่วยกันสร้างสรรค์สังคมต่อไปในอนาคต
สภาพจิตใจของผู้ใหญ่
โดยทั่วไปความเป็นผู้ใหญ่ (adulthood) มักจะหมายถึงช่วงระยะเวลาที่พ้น
จากวัยรุ่น และก่อนที่จะถึงวัยสูงอายุ ซึ่งเป็นช่วงอายุประมาณ 18-60 หรือ 65 ปี
ช่วงระยะเวลานี้ แบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ วัยหนุ่มสาว (young adult
years) ช่วงอายุ 18-35 ปี วัยกลางคน (middle adult years) ซึ่งเป็นช่วงอายุ
35-50 ปี ส่วนช่วงอายุ 50-65 ปี นั้น บางคนจะถือว่าเป็นระยะของการบรรลุวุฒิภาวะ
ของความเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ (maturity)และเริ่มต้นของการเปลี่ยนวัยไปสู่การเป็นผู้สูงอายุ6
อย่างไรก็ตาม การแบ่งช่วงระยะวัยต่างๆนี้ อาจจะแตกต่างกันได้ เช่น Levinson's
(1978) ได้แบ่งชีวิตคนออกเป็น 4 ช่วง คือ 1. เด็กและวัยรุ่น อายุตั้งแต่เกิดถึง 22 ปี
2. ผู้ใหญ่วัยต้น อายุ 17-45 ปี 3. วัยกลางคน อายุ 40-65 ปี 4. วัยสูงอายุ อายุ
60 ปีขึ้นไป7
Intimacy VS Isolation และ Generativity VS Stagnation
เรื่องการพัฒนาการทางด้านจิตใจ ซึ่งศึกษาโดย Erikson ที่ได้กล่าวแล้ว
ในตอนต้นของบทนี้ จะเห็นได้ว่า Erikson ได้มองว่า ถ้าพัฒนาการทางด้านจิตใจของคน
ในวัยหนุ่มสาว (young adult) ได้เป็นไปอย่างสมบูรณ์แล้ว จะมีการพัฒนาบุคลิกภาพใน
ส่วนของความสามารถที่จะสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นได้อย่างสนิทชิดเชื้อ (capacity
for intimacy) แต่ถ้าพัฒนาการนี้ล้มเหลว ก็จะทำให้เกิดการหยุดชะงักของการสร้าง
สัมพันธภาพกับบุคคลอื่น และเกิดการแยกตัวออกจากสังคม ไม่สามารถมีสัมพันธ์ที่สนิทแน่น
กับใครได้ Erikson เรียกผลที่เกิดจากความล้มเหลวของพัฒนาการนี้ว่า isolation5
ส่วนในช่วงของวัยกลางคน (middle adult years) นั้น Erikson ได้สรุปว่า พัฒนา
การทางบุคลิกภาพของคนในวัยนี้ ถ้าเกิดขึ้นอย่างเหมาะสมก็จะทำให้คนๆนั้นมีความสามารถ
ที่จะ "ให้" หรือ "ใส่ใจ"บุคคลอื่นนอกเหนือไปจากตัวของตัวเองได้ และ Erikson
เรียกความสามารถอันนี้ว่า "generativity" แต่ถ้าการพัฒนานี้ไม่สามารถเป็นไปได้ ก็
จะทำให้คนๆนั้นไม่สามารถจะนึกถึงคนอื่น ไม่สามารถ "ให้" หรือ "ใส่ใจ" คนอื่นได้ จะ
ยังคงสนใจแต่ตนเองความรู้สึกของตนและสิ่งที่ตนจะได้รับจากผู้อื่นเท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นแบบ
นี้ Erikson เรียกว่า "stagnation" หรือ "self-absorption" ระยะหรือ stage
ของพัฒนาการช่วงนี้ Erikson ให้ไว้จนถึงอายุ 60 ปี5
การแบ่งเป็นช่วงอายุระยะต่างๆนี้ ต้องคำนึงถึงความแตกต่างในแต่ละบุคคล
และอิทธิพลของวัฒนธรรม สังคม สิ่งแวดล้อมร่วมด้วยเสมอ เช่น คนที่ต้องดิ้นรนช่วยเหลือ
ตนเองตั้งแต่เด็ก ก็ย่อมมีภาระและความรับผิดชอบเป็นผู้ใหญ่ เร็วกว่าคนที่มีพ่อแม่ปกป้อง
ดูแล แม้ในวัย 20-30 ปี ก็อาจจะยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เลยก็ได้ เป็นต้น

แม่ของฉัน...น้อยกว่านี้ได้ยังงัย

จะเอาโลกเอาแผ่นดินสิ้นแผ่นฟ้า
มาเปรียบกับคุณมารดาหาได้ไม่
พระคุณแม่มีค่ามากเหนืออื่นใด
คอยห่วงใยใส่ใจทุกเวลา
คำว่า (แม่) แม่คำนี้มีค่านัก
ลูกตระหนักถึงพระคุณหนุนใฝ่หา
คอยเลี้ยงดูป้อนข้าวป้อนนมมา
พระคุณหนาล้นพ้นเกินตอบแทน......

แนะนำตัวเอง

ช์อนางสาว วัชรีพร อรุณพงษ์
ชั้น ม.5/1 เลขที่ 16
ชื่อเล่น จีน
โรงเรียนอาเวมารีอา
ครูผู้สอน คุณครูวีระชน ไพสาทย์